ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว พ่อแม่หลายคนอาจเริ่มได้ยินชื่อ “อะดิโนไวรัส” บ่อยขึ้น เพราะเป็นเชื้อไวรัสที่ระบาดง่าย และมักโจมตีกลุ่มเด็กเล็กเป็นพิเศษ ซึ่งนอกจากจะทำให้เด็กไม่สบายแบบทั่วไปแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้หากดูแลไม่ทันเวลา
อะดิโนไวรัสตัวนี้คืออะไร
อะดิโนไวรัสเป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่สามารถก่อให้เกิดโรคในระบบต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร หรือแม้แต่ระบบขับถ่าย จุดเด่นคือความสามารถในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน และแพร่กระจายผ่านการไอ จาม สัมผัสพื้นผิว หรือแม้แต่การใช้อุปกรณ์ร่วมกันในสถานที่อย่างศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาล
เด็กเล็กคือกลุ่มเสี่ยงที่ต้องจับตา
เด็กเล็กโดยเฉพาะในช่วงอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี มีภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ ทำให้เมื่อได้รับเชื้ออะดิโนไวรัสเข้าไปจะมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อไวรัสนี้เข้าไปโจมตีระบบหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หรือมีไข้สูงเฉียบพลันและต่อมน้ำเหลืองโต หากลุกลามไปสู่ตา ก็อาจเกิดเยื่อบุตาอักเสบที่ลามเร็ว ตาแดง น้ำตาไหล หรือถ้าไวรัสเข้าสู่ระบบย่อยอาหาร อาจทำให้ท้องเสีย อาเจียน หรือปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนกระทบต่อสุขภาพร่างกายและการเจริญเติบโตของเด็กในช่วงวัยสำคัญ
อาการต้องสังเกตอย่างใกล้ชิด
- ไข้สูงต่อเนื่องเกิน 3 วัน โดยไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้
- ไอแห้ง หรือไอมีเสมหะร่วมกับหายใจแรง หอบเหนื่อย
- ตาแดง มีขี้ตาเหนียว หรือรู้สึกแสบตา
- ถ่ายเหลวร่วมกับมีไข้ หรือมีเลือดปนในอุจจาระ
- ซึม ไม่กินนม หรือร้องกวนผิดปกติ
เด็กบางรายอาจมีอาการหลายระบบพร้อมกัน เช่น ไข้สูง ตาแดง และท้องเสีย ทำให้แยกจากโรคอื่นได้ยากในระยะแรก
อันตรายที่ต้องรู้ทัน
อะดิโนไวรัสในเด็กแม้ดูเหมือนหวัดทั่วไปในช่วงแรก แต่หากปล่อยให้ลุกลามอาจกลายเป็นโรคปอดบวม หรือสมองอักเสบได้ในกรณีที่ไวรัสแพร่เข้าสู่กระแสเลือด โดยเฉพาะในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร ความน่ากลัวของไวรัสนี้คือมีสายพันธุ์หลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ทำให้การรับวัคซีนยังครอบคลุมไม่ครบทุกชนิด และไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเฉพาะ ต้องอาศัยการดูแลประคับประคองอาการไปจนกว่าจะหายดี
ดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัยจากไวรัส
- ล้างมือให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- ทำความสะอาดของเล่น พื้นผิว ของใช้เด็กเล็กเป็นประจำ เพื่อลดการสะสมของเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในที่แออัด หรือสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง
- ให้ลูกพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
- รีบพาไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ โดยเฉพาะไข้ไม่ลด หายใจลำบาก หรือกินได้น้อยลงผิดสังเกต
ทำไมต้องระวังเป็นพิเศษ
การติดเชื้ออะดิโนไวรัสในเด็ก แม้บางรายจะหายได้เองใน 5-7 วัน แต่ก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือหรือพ่นยา เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ซึ่งเป็นภาระทางสุขภาพของทั้งเด็กและครอบครัว โดยเฉพาะในยุคที่เตียงโรงพยาบาลอาจไม่เพียงพอในช่วงโรคระบาดร่วมกันหลายชนิด นอกจากนี้ หลังหายจากไวรัส เด็กบางรายอาจมีอาการไอเรื้อรังหรือระบบหายใจไวต่อสิ่งกระตุ้นได้อีกต่อเนื่องหลายสัปดาห์
สรุป
อะดิโนไวรัสไม่ใช่โรคที่ควรละเลย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง เพราะเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้หลากหลายระบบและลุกลามอย่างรวดเร็ว พ่อแม่ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ไข้สูง ไอ ตาแดง ท้องเสีย ไปจนถึงภาวะซึม ไม่กินนม เพราะอาจเป็นสัญญาณของอาการรุนแรง การดูแลสุขภาพเชิงรุกด้วยการรักษาความสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ และพบแพทย์เมื่อจำเป็น คือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงจากไวรัสที่มองไม่เห็นนี้อย่างได้ผลครับ